วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Review Signature at Ku de ta

หากค่ำคืนนี้ใครยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปดินเนอร์ไหนดี กินแหลกแจกดาวขอแนะนำร้านซิกเนเจอร์ซึ่งเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ฟิวชั่นที่ตกแต่งสวยงามดั่งงานศิลปะ

วิวสวยที่เห็นทั้งตัวเมือง ตึกระฟ้า ถนนรถติด และแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดสาย โดยหลังจากเข้ามายังอาคารสาทรสแควร์แล้วจะเจอเคาน์เตอร์ของร้าน คูเดอตา ซึ่งครั้งนี้ได้จองมาก่อนหน้า พอบอกชื่อพนักงานจะพาไปที่ลิฟท์แล้วกดลิฟท์ให้ พอขึ้นไปถึงชั้นที่ 40 พนักงานจะพาไปที่โต๊ะ เริ่มมื้ออาหารด้วยมอคเทลซึ่งมีโปรโมชันอยู่เรื่อยๆคือซื้อ1แถม1

ที่สั่งไปเป็น Haloa  ซึ่งจะตกเหลือแค่แก้วละ 80 ซึ่งเหมาะกับคอนเซปอาหารในมื้อนี้ดีเพราะเชฟที่สร้างสรรค์อาหารที่นี้เป็นเชฟชาวฮาวายซึ่งอาหารหลายๆจานแม้เป็นอาหารญี่ปุ่นซึ่งได้ดึงเอกลักษณ์ความสดของวัตถุดิบออกมาแต่ก็ฟิวชั่นการปรุงแบบฮาวายเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเคียงพริกผลไม้และซอสพื้นเมืองแบบฮาวาย 
จานเรียกน้ำย่อยสั่งมา 3 จานได้แก่ Madai Ceviche จานนี้ใช้ Japanese sea bream คลุกเคล้ากับ Young Coconut, Pomegranate Amazu ซึ่งเป็นการปรุงแบบฮาวาย อร่อยสดชื่นและฉ่ำกับปลาสดๆ จานละ 400


ตามด้วย Salmon White Kelp Kizami Wasabi , Ponzu เป็นปลาแซลมอนกับวาซาบิหอมแดงทอดและไข่ปลาแซลมอนกับซอสซึ่งก็อร่อยมันๆเค็มๆ รสชาติกำลังดีไม่มีอะไรมากไปน้อยไป จานละ 500 และ 


Hamachi Nahm Prick ใช้ปลา Japanese Yellowtail ราดด้วย Cilantro Vinaigrette แต่ละคำจะรู้สึกถึงความอร่อยจากปลาสดแต่มีรสจี้ดๆแบบไทยแฉล้มๆเข้ามา น่าจะถูกปากคนไทยหลายคนครับจานละ 500 

ต่อมาจานกลางสั่งเป็น Baby Capsicum Tempura เป็นเทมปุระฟิวชั่นที่หน้าตาแปลกและอร่อยประกอบไปด้วย King Crab Feta กับ Spicy Tuna และ Yuzu Soy รสชาติกรุบละมุนและฮอทนิดๆจานละ 450 


และจานหลักเป็น Matcha Lamb Green Tea เป็นน่องแกะ Tobanjan Lamb Jus ย่างแบบมีเดียม ราดและปรุงด้วย  Pistachio Crust, Mung Bean Shitake Relish จานละ 900 ต

บท้ายของหวานด้วย Calamansi Stack ซึ่งให้ทั้งรสหวานรสเปรี้ยวรสเปรี้ยวอมหวานไม่เลี่ยนและสวยงาม โดยน้ำเปล่ามื้อนี้เลือกเป็น Sparkling mineral water


อันนี้เป็นผับที่อยู่หน้าห้องน้ำครับ โดยรวมอาหารดี บริการดีมากพนักงานใส่ใจและสุภาพมาก ติอย่างเดียว ผมไม่ชอบเพลงที่เปิดผมจะไม่ติเลยถ้าเป็นเพลงที่ดังจากผับแต่นี้เป็นเพลงที่ร้านอาหารเปิดเองออกแนวเพลงตั้งแถบดังเกินไปหน่อยสำหรับคนไม่ชอบ

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Akaligo

ห้องอาหารอกาลิโก สุดยอดบุฟเฟต์ซันเดย์บรันช์แห่งโรงแรมดาราเทวีเชียงใหม

สำหรับห้องอาหารอกาลิโกเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่เหล่านักกินนักยัดที่นิยมบุฟเฟ่ต์นานาชาติสนใจและอยากมากันมาก ซึ่งทางกินแหลกแจกดาวก็การันตีได้เลยว่าคุ้มจริงๆและคุณภาพอาหารสูงไม่ผิดหวังแน่ๆ ในรีวิวนี้ถ่ายเก็บมาไม่ครบจริงๆเพราะตอนทานๆไปแล้วลืมถ่ายครับบวกกับไปช่วงสงกรานต์ ขืนมัวถ่ายรูปของหมดแน่
























ครั้งนี้ได้ทำการจองโต๊ะไว้ก่อนจึงมีที่นั่งในห้องแอร์เพราะถ้าจองช้าจะต้องไปนั่งข้างนอก ซึ่งร้อนบรรลัยสไตล์ช่วงสงกรานต์ครับ ส่วนที่ไม่ได้จองก็ไม่ต้องหวังเลยเพราะไม่มีที่แน่นอน

 อาหารมีหลากหลายทั้งไทย อิตาเลี่ยน ซีฟู้ดสดๆ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และของหวาน ในเซ็นซันเดย์บรันช์จะรวมเครื่องดื่มไว้ด้วยคือมีน้ำผลไม้สดปั่นมากมายพร้อมกากและเนื้อผลไม้ อาทิ น้ำฝรั่ง น้ำแอปเปิล น้ำส้ม น้ำสับปะรด ฯลฯ ซึ่งไฮไลต์เด็ดๆคงจะเป็นปูอลาสก้าสด หอยนางรมสดจากฝรั่งเศส และอาหารทะเลสดๆมากมายรวมไปถึงฟัวกราส์เทอรีนซึ่งทำใหม่ๆตามออเดอร์โดยเชฟคาร์ลอสจากห้องอาหารฝรั่งเศสซึ่งย้ายมาจากเลอนอร์มังดี มุมอาหารญี่ปุ่นที่จัดเต็มทั้งปริมาณและคุณภาพทั้งกุ้งหวานโบตัน บลูฟินโทโร่ แซลมอน หอยปีกนก ปลาหมึกยักษ์ สแกลอป เนื้อวัวมัสซึซากะเกรดเอ ไข่หอยเม่น เอนกาว่า และของหวานที่จัดเต็มทั้งมาการองหลากหลายรส เอแคลร์ และอื่นๆอีกมากมาย ปิดท้ายด้วยชาซึ่งเลือกได้เบาๆสบายๆล้างปาก ทานเข้าไปหมดผมถึงกับติดตะขอกางเกงไม่ได้เลยทีเดียว

ราคาเต็มประมาณหัวละ 2,000 แต่ต้อนนั้นได้ราคาพิเศษเพียงหัวละ 1,380

จะราคาเต็มหรือราคาพิเศษก็คุ้มมากครับ

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Le petit Zinc French Bistrot n Bar  

โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงอาหารฝรั่งเศส เรามักจะนึกถึงห้องอาหารในโรงแรม บรรยากาศหรูหราแต่สำหรับร้านสังกะสีน้อยๆนี้ออกแนวสบายๆเป็นกันเอง อินดี้นิดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าของร้านอาหารซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสแท้

เมนูอาหารของที่นี่ต้องการจะสื่อสารให้ผู้รับรู้ว่าอาหารฝรั่งเศสไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด ที่นี้จะเปิดให้บริการสองรอบคือช่วงกลางวันและช่วงเย็นถึงกลางคืน มื้อนี้เป็นมื้อเย็นไม่มี set มีแต่ À la carte  เผื่อไว้ให้เป็นตัวเลือกของคนที่หลงใหลในอาหารฝรั่งเศสหรือถ้าใครที่อยากจะลิ้มลองรสชาติของอาหารฝรั่งเศสแต่ไม่ชอบพิธีการหรือความหรูหราแต่ชอบบบรรยากาศที่อินดี้เป็นกันเอง รสชาติเข้าถึงง่ายและมีวัตถุดิบที่คนไทยคุ้นเคยก็สามารถเข้ามาลองลิ้มชิ้มรสชาติความอร่อยได้ที่นี่ สำหรับสาขาที่ไปค่อนข้างลึกลับมากอยู่ในซอยเย็นอากาศ ซึ่งจะมีอีกสาขาอยู่ที่สุขุมวิท 23  สาขานี้ที่จอดในร้านน้อยมาก ขนาดวันที่ไปเอา C200 ปี 2010 ไปจอดไว้ก้นยังโผล่ล้นออกจากประตูร้านเลย



ข้ามาถึงร้านบรรยากาศแสงเหลืองๆมืดๆ มีเครื่องเล่นและหนังสือสำหรับคนที่สนใจ พอดีไปค่อนข้างหัวค่ำเลยมีน้ังกันอยู่แค่สามโต๊ะ ซึ่งนั่งไปซักพักเต็มร้านเลยครับ พอไปถึงเชฟชาวฝรั่งเศสคุณฟรองซํวก็มากล่าวต้อนรับพร้อมรับออเดอร์ซึ่งเจ้าของร้ายพูดภาษาได้ได้อยู่ไม่กี่คำและภาษาอังกฤษสำเนียงฝรั่งเศษ ไปถึงหลายเมนูหมดตั้งแต่เที่ยงแล้วครับ


มีดช้อนส้อมและเครื่องมือรับประทานอาหารค่อนข้างแปลกและเข้ากับทีมร้าน


พอสั่งอาหารเสร็จก็เริ่มด้วยขนมปัง ขนมปังที่นี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือนอกจากนุ่มๆอุ่นๆแล้วยังหอมมาก หอมกลิ่นโรสแมรี่

เริ่มด้วยสลัดเป็นจานแรก Périgourdine salad - Salade Périgourdine 330 จานนี้พอใช้ได้ครับแต่ไม่แปลกอะไรธรรมดาๆ


ต่อด้วย Tartare de saumon - Salmon tartare 250 จานนี้สวยและแปลกดี รสชาติอร่อยๆแซลมอนรมควันกับไข่และใส้ข้างในเข้ากันได้อีมาก



จานหลักจานแรกเป็น Scallops with mixed spices, tomatoes and capsicum chutney, risotto 590 วัตถุดิบคุณภาพดีเป็นหอยเชลจากฮอกไกโด ตัวใหญ่หวานมันกรุบอร่อยดี เข้ากันได้ดีกับรีซอสโต้ก็คือข้าวต้มชีส



จานหลักต่อมาคือ Magret de canard farci au foie gras, Purée d'abricot et légumes sautés - Duck breast stuffed with foie gras 650 จานนี้ตัวหลักเป็นเนื้อเป็ดส่วนอกกับตับห่าน ซึ่งเข้ากันได้ดี นุ่มไม่เหนียวรสชาติโอเค



สุดท้ายล้างปากด้วย Crêpe mapple sirup, glace vanille Crepe maple syrup vanilla ice cream 210 อร่อยดีครับ



ราคาก็สมน้ำสมเนื้อกับวัตถุดิบแต่หลายคนอาจจะมองว่าแพงไปเพราะสถานที่ค่อนข้างจะดูธรรมดา แต่นั้นก็เป็นคอนเซปของร้านเขาครับ

รีวิว ห้องอาหาร ทิพธารา Thiptara โรงแรมเพนนินซูล่า

ริวิวนี้จะพามาแนะนำห้องอาหารทิพธาราซึ่งตั้งอยู่ในโรงแรมเพนนินซุล่าย่านเจริญนคร ตรงกันข้ามกับโรงแรมแมนดารินโอเรนเตลเปะเลยแต่คั่นกันด้วยแม่น้ำเจ้าพระยา ห้องอาหารทิพธาราเป็นห้องอาหารที่บริการอาหารแบบไทยดั่งเดิม ซึ่งสำหรับผมรู้สึกว่าทานแล้วเหมือนทานที่บ้านเพราะปกติที่บ้านคุณแม่ก็จะทำอาหารประมาณนี้ พอตกกลางคืนจะมีระนาดเอกบรรเลงให้ฟังไปพร้อมๆกับการทานอาหารชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาแบบพาโนราม่า ห้องอาหารนี้แนะนำให้มาทานเป็นช่วงเย็นช่วงกลางคืนจะวิวสวยและไม่ร้อน ลมดี

สำหรับครั้งนี้ผมเลือกทานเป็น set สำหรับ 2 ท่าน ชื่อ Ruenthip Set มีทั้งหมด 5 course 7 อย่าง ตามนี้เลยครับ





เริ่มจากคอมพลิเมนทารี่ของห้องอาหารเป็นขนมปังขาไก่ปรุงรสต้มยำกุ้ง รสชาติแปลกและเป็นเอกลักษณ์ดี 


ตามด้วยจานเรียกน้ำย่อย เป็นลาบหมู พอจานนี้ลงพนักงานจะถามว่าจะรับข้าวแบบไหนมีให้เลือก 3 อย่างคือ ข้าวกล้อง ข้าวสีนิล และข้าวสวย



 ถัดมาจะเริ่มเสริฟจานหลักซึ่งประกอบไปด้วย แกงคั่วหมูนุ่มอันนี้ให้เขาเปลี่ยนจากเนื้อวัวเป็นหมูครับ ตามมาด้วยไก่ผัดเม็ดมะม่วง และผัดผักบุ้ง 

ตบท้ายดวยทับทิมกรอบ วิวยิ่งดึกยิ่งสวยครับ เรียกได้ว่าอยู่ตรงข้าม le normandie เลย มองไปเห็นหมดว่าบนนั้นมีแขกกี่โต๊ะ เริ่มเสริฟไปกี่อย่าง